S.Maneephand แบรนด์จิวเวลรีไทยที่พลิกนิยามการสวมใส่เครื่องประดับเพชร ด้วยงานออกแบบร่วมสมัยอันโดดเด่นด้วยมิติที่แตกต่างอย่างมีชั้นเชิง
Author: Phuriwat Hirunrangsee and Kantinan Srisan | Photographer: Somkiat Kangsdalwirun
Jun 11, 2025
"...ภูมิและน้อยนัดดา อัศวนฤนาท ทายาทรุ่นที่สามและภรรยาได้ช่วยกันพาให้แบรนด์ S.Maneephand ก้าวมาเป็นแบรนด์เครื่องประดับเพชรของสาวสังคมยุคใหม่ ภายใต้การสร้างสรรค์เครื่องประดับจากแนวคิดที่ต้องการให้เครื่องประดับเพชรนั้นไม่ใช่เรื่องไกลตัวด้วยรูปแบบงานดีไซน์ที่ไม่เหมือนใคร..."
ภูมิ: “จริงๆแล้วแบรนด์มันเริ่มมาตั้งแต่ยุคคุณปู่ที่เริ่มทําจิวเวลรีแบรนด์ ศ.มณีพันธ์ ขึ้นมา หลังจากนั้นคุณพ่อก็เริ่มขึ้นมาแทนแล้วทำธุรกิจต่อมาประมาณ 30-40 ปี ส่วนผมอยู่กับมันมาตั้งแต่เด็ก เห็นมันอยู่ทุกวันจนรู้สึกว่าเราชอบ ก็เริ่มไปศึกษาเกี่ยวกับเครื่องประดับมากขึ้น เรามีแพสชั่นที่อยากจะเปลี่ยน และสร้างบางอย่างให้กับมันมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ใช่แค่เครื่องประดับสำหรับออกงานเท่านั้นเพราะรู้สึกว่ามันถูกตีกรอบแคบเกินไป อยากให้มันเป็นเครื่องประดับที่อยู่และใช้ในชีวิตจริงๆ นั่นคือสิ่งที่เราอยากให้จิวเวลรีของเราเป็นครับ”
น้อยนัดดา: “คุณภูมิเป็นรุ่นที่สามของ S.Maneephand เข้ามาพัฒนาแบบเต็มตัว เขาเป็นคนชอบทดลองอะไรใหม่ๆเลยสามารถดีไซน์จิวเวลรีออกมาในดีไซน์ค่อนข้างแปลกตา ปัจจุบันการรับรู้ของลูกค้าก็จะเปลี่ยนไปเลย พอเห็นของที่ภูมิออกแบบ เขาก็จะรู้สึกว่ามันแตกต่างจากแบรนด์อื่นแล้วก็โดดเด่นมากกว่าแบรนด์อื่น ซึ่งเราคงคอนเซปต์นี้มาในยุคของภูมิ แต่ว่ากลิ่นอายของแบรนด์แม้กระทั่งชื่อเราก็คงยังใช้ของเดิมอยู่ คือเราต้องการผสานความคลาสสิกเข้ากับความทันสมัย เพื่อที่จะครีเอตเครื่องประดับออกมาให้เป็น one-of-a-kind จริงๆด้วยดีไซน์ แต่ว่าด้วยคุณภาพและเรื่องราวทุกอย่างเรายังคงความเป็น S.Maneephand”
ก่อนขึ้นมาเป็นแบรนด์เครื่องประดับซึ่งเป็นที่ต้องการของเหล่าแฟชั่นนิสต้าไทย S.Maneephand ได้ผ่านความท้าทายรอบด้านเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่พวกเขายึดมั่นนั้นสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกได้จริง
น้อยนัดดา: “ในช่วงแรกค่อนข้างยากค่ะ ช่วงที่ภูมิเข้ามาทําแบบเต็มตัว กลุ่มลูกค้าที่เป็นลูกค้ามายาวนานจะเป็นลูกค้าตั้งแต่สมัยก่อนอายุตอนนี้คือ 90 กว่ายังมาที่ร้านอยู่ เป็นรุ่นอากงอาม่า เขาก็ตกใจกับการที่เราใช้สีดํา แต่ก่อนโลโก้ของร้านทุกอย่างจะเป็นทองหรือสีแดง สีมงคลของเชื้อสายไทยจีน แต่พอภูมิเข้ามาเปลี่ยนทุกอย่างเป็นสีดําทำให้ผู้ใหญ่ตกใจมาก แค่สีไม่พอจะมีเรื่องของดีไซน์อีก ในช่วงแรกของการเปลี่ยนแปลงมันแปลกสําหรับคนรุ่นก่อน พอเราพยายามทําให้เขาเห็นว่าสิ่งที่เราทำมันเป็นอะไรที่ร่วมสมัย แล้วเราสามารถดึงให้คนกลับมาใส่จิวเวลรีได้ในทุกช่วงอายุ และใส่ได้ในทุกวัน กลายเป็นว่าเพชรมันไม่ได้จํากัดอยู่ในกรอบเดิมๆเท่านั้น”
ภูมิ: “ทุกอย่างมันคือการผสมผสานระหว่างของใหม่และของเก่า ถามว่าตอนแรกมันยากมั้ย?ก็ยาก เพราะงานเรามันต่างกับคนอื่นโดยสิ้นเชิงมันก็ท้าทายในระดับหนึ่งเลย ลูกค้าเราไม่ได้จำกัดอายุนะครับ แต่เป็นลูกค้าที่อยากจะหาอะไรใหม่ๆอยากเจอประสบการณ์ใหม่ เขาก็เลยมาสนใจเครื่องประดับที่ผมทํา ซึ่งคนจะมองว่ามันค่อนข้างยาก มันใส่ยาก แต่ถ้าคุณใส่แล้วมันจะกลายเป็นอีกอารมณ์หนึ่งที่คุณไม่เคยเห็นในตัวของคุณเองครับ”
แหวนรูปทรงกราฟิกยาวไปตามเรียวนิ้วและต่างหูขนาดโอเวอร์ไซส์ที่มองเห็นได้จากระยะไกล นับเป็นงานดีไซน์ที่แตกต่างจากแบรนด์อื่นโดยสิ้นเชิง ชิ้นงานอันเปี่ยมเอกลักษณ์ที่ช่วยให้ลุคสวยของผู้หญิงที่มีสไตล์ที่แตกต่างดูสะดุดตามากยิ่งขึ้น
ภูมิ: “การที่ผมเติบโตมาในครอบครัวคนจีนมีส่วนในการออกแบบเยอะเลยเพราะว่างานที่ผมออกแบบไม่ได้มีไอเดียมาจากจิวเวลรีอย่างเดียว มันมีทั้งวัฒนธรรมทั้งประเพณีต่างๆ ที่เรารับรู้ สิ่งที่เราเห็น สิ่งที่เราผ่านมามันอยู่รวมกัน รวมถึงประสบการณ์ ทุกอย่างมันรวมกันนั่นคือสิ่งที่ผมมองเห็นในจุดต่างๆของงานดีไซน์ ส่วนใหญ่จะเป็นต่างหู ถ้าเขารู้จัก S.Maneephand จะเห็นว่าต่างหูหรือแหวนใส่แล้วจะรู้ว่าเป็นของเราทันที สิ่งที่สําคัญที่สุดก็คือน้ำหนักของทองที่เราคํานึงถึงเพราะว่าผู้หญิงเวลาออกงานต้องใส่เครื่องประดับนาน 2-3 ชั่วโมง...ผมชอบมองคนแต่งตัว เวลาไปงานมันเป็นความรู้สึกที่แบบว่าเฮ้ย ทําไมทุกคนมันต้องเหมือนกันหมด เราเลือกที่จะแตกต่างกันได้ ถ้าวันหนึ่งการที่เราแตกต่างนี้มันสะท้อนให้เห็นตัวเรามากขึ้น นั่นแหละคือสิ่งที่เราชอบ นั่นแหละคือสิ่งที่เราเป็น นี่คือเหตุผลว่าทําไมถึงต้องเป็นชิ้นนี้เพราะเป็นต่างหูชิ้นเดียวที่คอมพลีตลุคได้เลยครับ”
น้อยนัดดา: “ส่วนใหญ่จะเป็นต่างหูโอเวอร์ไซส์ซึ่งไซส์จะประมาณ 5-6 เซนติเมตร ซึ่งถือว่าใหญ่แล้วก็จะฝังเพชรละเอียดยิบประมาณ 1,000-2,000 เม็ด เวลามองมันจะเหมือนว่าต่างหูเราแบน แต่จริงๆไม่ใช่เลยมันมีมิติ ซึ่งเราทุ่มเททำงานกับมันมาก เราทำหนังสือที่พูดถึงเรื่อง Dimension มิติแห่งสินค้าหรืออีกนัยหนึ่งเป็นมิติในการมอง ซึ่งคนไม่สามารถที่จะบอกได้เลย ถ้าไม่เห็นชิ้นงานจริงของเรา เป็นงานทำมือจริงๆมันไม่เหมือนใคร เราเล่นกับแสงด้วยมิติ นี่คือหนึ่งในเอกลักษณ์ของเราค่ะ”
แม้ว่างานดีไซน์ของแบรนด์จะมีความโดดเด่นล้ำสมัยมากแค่ไหน หัวใจสำคัญของการทำเครื่องประดับของแบรนด์ยังคงอยู่ที่งานฝีมือซึ่งถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น
ภูมิ: “ส่วนใหญ่จิวเวลรีของเรามันเป็นงานทำมืออยู่แล้ว ทุกชิ้นเราให้ความสําคัญกับตรงนี้มาก ความที่มันพิถีพิถันนี่แหละคือหัวใจสําคัญ ผมยังอยากให้เรามีความคลาสสิกเพราะมันเป็นเสน่ห์ ผมเลยชอบงานฝีมือของเรามากที่สุดครับ แม้ว่าแต่ละชิ้นจะต้องใช้เวลาทำนานก็ตาม”
เมื่อเราได้เพ่งพินิจงานออกแบบเครื่องประดับของ S.Maneephand อย่างใกล้ชิดทำให้เข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไมสาวเก๋ในยุคปัจจุบันถึงได้ถวิลหางานดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครแบรนด์นี้
อ่านบทความเพิ่มเติม: 4 จิวเวลรี่ดีไซเนอร์ไทยที่ใครต่อใครต่างก็พูดถึงในชั่วโมงนี้